ถ้าใครกำลังมองหาอ่านบทความที่ร่ายถึงเทรนด์แฟชั่นในตอนนี้ สกินแคร์มาแรงในปีหน้า หรือภาพยนตร์น่าดูที่กำลังจะชนโรง ก็ขอให้ปิดออกไปได้เลย เพราะบทความนี้เราสนองนี้ดตัวเองล้วนๆ และอยากขอกลับมาทบทวน ชีวิต ตัวเองก่อนอีกครั้ง เพราะพรุ่งนี้ “ฉัน” จะอายุ 29 ปีแล้ว
<Hero image credit: Sasha Freemind/ Unsplash>
โอเค มันไม่ใช่เรื่องใหญ่โต ก็แค่อายุ 29 ปี แต่ตัวเราเอง 28 ปีที่ผ่านมาไม่ค่อยได้ถามตัวเองเสียเท่าไหร่ ว่าที่ผ่านมาเรียนรู้อะไรมาแล้วบ้าง จนกระทั่งวันที่ใกล้จะเข้าเลข 3 อีกไม่กี่ปีข้างหน้านี้ก็เริ่มมีความกังวลขึ้นมา (ซึ่งเป็นเรื่องปกติ) ว่ามีอะไรที่ยังไม่ได้ทำบ้าง ทำอะไรที่ไม่เป็นอีก ให้เงินที่บ้านพอแล้วยัง แล้วต้องผ่อนบ้านอีกกี่งวด เอาแต่พะว้าพะวงถึงแต่สิ่งที่ต้องทำในวันข้างหน้า จนเกิดเป็นอาการแพนิค (ตามประสาคนที่ชอบจดลิสต์ถึงสิ่งที่ต้องทำในทุกวัน) โดยที่ไม่เคยปล่อยวาง หรือทบทวนสิ่งที่ผ่านมาเลยสักนิดเดียว
จนกระทั่งมานึกย้อนอีกครั้ง ถึงได้รู้ว่าระหว่างทางขรุขระกระโดกกระเดก เราเรียนรู้อะไรเหมือนกันในแบบที่ทั้งตั้งใจ และไม่ได้ตั้งใจ ไอ้คำว่า “ประสบการณ์ชีวิต” ที่ใครๆ พูดคงจะเป็นเรื่องจริง เราจึงคิดว่ามันอาจจะเป็นเรื่องดีไม่น้อย ถ้าได้แชร์เรื่องราวที่ผ่านมาใน ชีวิต วัย 20 กว่าปีให้ทุกคนได้รู้บ้าง เพราะเราค้นพบอีกหนึ่งก้าวแล้วว่า การเรียนรู้ที่จะปฏิเสธคน หรือปฏิเสธงานบ้างก็ไม่ใช่เรื่องผิดอะไร ความคิดที่ว่าทำวันนี้ไม่ได้ ค่อยเริ่มใหม่พรุ่งนี้ก็ฟังดูเข้าท่ามาก หรือว่าเห็นแก่ตัวบ้างก็ได้ในบางครั้ง และพยายามเริ่มมองหาความสุขจากสิ่งเล็กๆ น้อยๆ ในชีวิตเสียบ้าง
ต่อไปนี้คือ 8 สิ่งที่ “ฉัน” ได้เรียนรู้ และหวังว่า “คุณ” จะได้ประโยชน์จากมัน ไม่มากก็น้อย

Spend money on experiences instead of things เลือกซื้อประสบการณ์บ้าง
เสียเงินซื้อประสบการณ์ดีกว่าจ่ายมันเยอะๆ ไปกับสิ่งของ เราเรียนรู้ว่าไอ้เสื้อผ้าที่มันอัดแน่นกันอยู่ในตู้จนมันถล่มลงมาในเช้าวันหนึ่ง ทำให้เรารู้ว่าต่อจากนี้ต้องพิจารณามากขึ้นต่อการซื้อหนึ่งครั้ง หรือเลือกให้ลิมิตตัวเองในแต่ละเดือนแทน แล้วเริ่มเก็บตังเพื่อออกไปเที่ยว ไปลงคอร์สอะไรที่อยากลองทำมาตลอด เราหันมาเสียเงินกับคอร์สออกกำลังกายอย่างโยคะและพิลาทิสแทน รวมทั้งเก็บตังเพื่อไปเที่ยวต่างประเทศให้มากขึ้นด้วย
Prioritize things more ก่อนทุกอย่างจะยุ่งเป็นยุงตีกัน
จัดลำดับชีวิตเสียบ้าง อาจจะไม่ต้องขนาดนั่งทำ Bullet Journal ในทุกๆ วัน แต่แค่เขียนลิสต์สำคัญๆ ที่ต้องทำในวันทำงาน แล้วลองไล่ดูว่าสิ่งไหนสำคัญที่สุด ก็เริ่มทำจากสิ่งนั้น คิวไหนที่ยังไปไม่ถึง ก็ไม่ต้องไปแพนิคตกใจใส่มัน อย่าไปกังวลในสิ่งที่ยังไม่เกิด และตั้งใจกับคิวตรงหน้าก่อนเป็นพอ แล้วถ้าปัญหามันเกิดขึ้นก็แค่แก้มันไปในแต่ละวันเท่านั้นเอง วิธีนี้ช่วยให้เราโฟกัสกับงานและลดความฟุ้งซ่านในสมองได้
Wear what makes you feel like you ไม่ใช่เพื่อคนอื่น
เลิกสนใจการแต่งตัวของคนอื่น แล้วหันมาสนใจว่าตัวเองชอบอะไรดีกว่า อย่าไปตามเทรนด์ให้มาก เพราะมันเหนื่อย น่าเบื่อ แล้วก็เปลืองเงิน ลงทุนกับชิ้นที่เป็นเบสิกจับแมตช์ใส่กับแบบอื่นได้ง่ายๆ อย่ามัวแต่ตามดูว่าเซเลบฯ คนนั้นหิ้วกระเป๋าแบรนด์อะไร ใส่รองเท้าของใคร ไม่อย่างนั้นคุณก็จะวิ่งตามแบบไม่รู้จบ แต่ว่าถ้าตัวคุณเองเป็นสายแฟชั่นที่ชื่นชอบจริงๆ เราแนะนำให้จัดสรรงบประมาณให้ถูกกับรายได้เป็นพอ

Listen to your favorite song วันละหลายๆ รอบ
เริ่มต้นวันด้วยการเปิดเพลงที่ชอบฟังสักสองสามรอบ มันช่วยเซตอารมณ์ในวันนั้นได้ประมาณหนึ่งเลยนะ แต่ถ้ายุ่งจนไม่มีเวลาจริงๆ เพราะต้องโฟกัสกับงานหรือการประชุม งั้นลองเปิดฟังระหว่างทางกลับบ้านบ้าง อุดหูเสียงรอบข้างด้วยเพลงที่คุณชอบ เราแนะนำว่าหลังเลิกงาน ให้ลองเลือกเป็นเพลงช้าๆ เพื่อปรับอารมณ์ให้ดาวน์ลงนิด หลังวิ่งวุ่นแพนิคกับงานมาทั้งวันแล้ว
Call your family บ้างอย่าโทรแต่หาแฟน
เป็นเรื่องปกติแหละที่อายุประมาณนี้ จะให้ความสัมพันธ์กับคนรักมากกว่าครอบครัว ซึ่งหลายคนหันมานึกได้ก็เมื่อสายเกินไปแล้ว อย่าทำแบบนั้นเลย เราไม่ได้ให้คุณโทรหาพ่อ แม่ พี่ น้อง แล้วบอกว่าคุณรักเขามากแค่ไหน (แม้ว่าทำได้จะดีมากก็ตาม) ถ้าคุณเป็นคนประเภทปากหนักและอ้อนไม่เป็น ทำไมไม่ลองเริ่มจากการโทรถามไถ่เรื่องอื่นๆ เล่าเรื่องตัวเองบ้างเล็กน้อย อัพเดต ชีวิต ของอีกฝั่งบ้างพอประมาณ แค่นั้นเขาก็ชื่นใจแล้วล่ะ

Date yourself จะได้รู้จักตัวเองมากขึ้น
ลองออกไปใช้วันหยุดกับตัวเองเสียบ้าง กินข้าวคนเดียว ไปนั่งแกร่วแถวสวน ดูหนังคนเดียว ทำอะไรที่คิดว่าตัวเองชอบบ้าง เพราะบางครั้งผลที่ได้มันอาจทำให้เราเจอตัวเองว่าจริงๆ ที่คิดว่าชอบทำ เราชอบทำจริงหรือเปล่า หรือแค่พูดไปอย่างนั้น ออกไปลองทำสิ่งที่คิดว่าทำไม่ได้ ไม่แน่คุณอาจทำได้ดีกว่าที่คิด นอกจากจะได้รู้จักตัวเองมากขึ้นแล้ว มันยังทำให้เราเข้มแข็ง และเรียนรู้ที่จะพึ่งพาตัวเองก่อนเป็นอันดับแรกด้วย
Nothing last forever เช่นเดียวกับความเศร้า
ไม่มีอะไรจีรังยั่งยืน ทั้งความสุขและความทุกข์ วันนี้เราหัวเราะยิ้มแย้มก็จงมีความสุขและเก็บเกี่ยวกับช่วงเวลานั้นซะ แต่ถ้าเมื่อไหร่ความทุกข์เข้ามาเยี่ยมเยียน ก็อย่าไปกดดันตัวเองให้มาก ให้ทำความเข้าใจว่ามันเกิดขึ้นเพราะอะไร มีทางแก้หรือไม่ (อยากร้องไห้ก็ร้องเลย เหมือนเราเองก็ร้องจนตาแห้งมาแล้ว) และจงระลึกเสมอว่ามันเป็นช่วงเวลา เดี๋ยวมันมาแล้วเดี๋ยวมันก็ไป ไม่มีอะไรคงอยู่ตลอดเวลา ดังนั้นไม่ต้องเครียดเกินจนเสียสุขภาพจิตแถมสิวขึ้นอีก ไม่สวยค่ะ
สุดท้ายถ้า “ฉัน” จะบอกอะไรตัวเองในวัยเกือบ 30 ปีอีกครั้ง ก็คงเป็นว่า “ยังไม่แก่เสียหน่อย ชีวิต มีอะไรให้ทำอีกเยอะ หายใจเข้าลึกๆ ปล่อยมันไป พรุ่งนี้ค่อยเริ่มใหม่ก็ได้นะ”
อ่านเรื่องราวเกี่ยวกับ ไลฟสไตล์คนเมือง ร้านอาหารเด็ดดัง แฟชั่นล่าสุด สุขภาพ และความงาม พร้อมกับ เรื่องราวทางวัฒนธรรมต่าง ๆ ได้ที่ Lifestyle Asia